วันเดียวก็เที่ยวได้

หลังจากห่างหาย ไม่ได้โพสบทความใหม่เลย ด้วยข้ออ้างเรื่องเวลา และการต่อสู้กับเทคโนโลยีและhacker ทั้งหลาย
เวปท่องเที่ยวธรรมดาๆ ของเค้า ยังจะมาแฮ็คเรียกค่าไถ่อี๊กกกก ด้วยข้ออ้างทั้งมวล เลยดองเรื่องเที่ยวมาร่วมปี

กราบขออภัยทุกท่านมา ณ ที่นี้ ต่อไปจะพยายาม up บทความให้บ่อยมากขึ้นนะคร๊า

แต่ขอบอกว่า ความเข้มข้นของเนื้อหาการท่องเที่ยวยังเหมือนเดิม เพียงแต่เน้นเที่ยวแบบครอบครัวมากขึ้น ก็ตามวัยอ่ะนะ
วันนี้เลยมาโพส ทริปง่ายๆ สำหรับคนเวลาน้อยนิด อย่างเรา ทริปวันเดียวก็เที่ยวได้ ตอนที่ 1

นั่นก็คือ เมือง โพธาราม จังหวัด ราชบุรี นั่นเอง จริงๆ เราเคยพาไปราชบุรีหลายรอบแล้วนะ ไปตามอ่านกันได้ โดยเฉพาะสวนผึ้ง
ที่หน้าหนาวก็สวยไม่แพ้ ภาคเหนือ หรือ โคราชเลย
http://www.iluvtravelling.com/%e0%b8%aa%e0%b8%96%e0%b8%b2%e0%b8%99%e0%b8%97%e0%b8%b5%e0%b9%88%e0%b9%80%e0%b8%97%e0%b8%b5%e0%b9%88%e0%b8%a2%e0%b8%a7%e0%b8%aa%e0%b8%a7%e0%b8%99%e0%b8%9c%e0%b8%b6%e0%b9%89%e0%b8%87/
แต่ถ้าไม่ค้างคืน สวนผึ้งก็ดูจะไกลไปสักหน่อย

วันนี้เลยเลือกการเดินทางใกล้กรุงเทพ มากๆ อย่าง อ.โพธาราม ยิ่งเราอยู่กรุงเทพฯชายขอบ พุทธมณฑลแล้ว ขับรถชั่วโมงนิดๆ
เร็วกว่าไปทำงานในเมืองอีกนะ ถึงแล้ว

ร้านแรกที่ เป็นจุดนัดพบ เลย คือ ร้าน “กาลนาน” ใครที่เคยเที่ยวโพธารามน่าจะรู้ดีว่า ร้านนี้เค้ามีดีหลายอย่าง
เรียกว่าถ้ามาเสาร์ อาทิตย์นี่หาเก้าอี้นั่งยังยากส์เลยอ่า ทำไมต้องมาแวะร้านนี้หน่ะเหรอ

ต้องบอกว่าเค้ามีเมนูเด็ดๆ หลายเมนูเลยล่ะ ที่เราโดนมากๆ คือ น้ำสยามโซดา หรือ น้ำทับทิมโซดา อันนี้แบบสุด คือเคยดื่มน้ำประเภทโซดา
หลายหลาก ราคาถูก ราคาแพง แต่รสชาติไม่ได้เรื่องซะ 80% แต่พอมาโดนร้านนี้เท่านั้นแหละ (นี่แอบกินแก้วเพื่อนนะเนี่ย)
โอ้ย 55 บาท รสชาติหวานเปรี้ยว กลมกล่อมกำลังดีไม่โดดโซดา เกินไป ดื่มอากาศร้อนๆ นี่ชุ่มชื่นใจนัก

คอกาแฟ ก็ต้องไม่พลาด กาแฟกาลนาน เด็ดยังไง อันนี้ต้องไปลองนะ เพราะเราไม่ดื่มกาแฟ
เลยเลือก ชาชักกาลนาน นัวๆ รสชาติดีตีนมได้นุ่มเข้ากับชาเลยแหละ ราคาก็นะ 45 บาท

ของคาวก็มีให้เลือก ขนมปังทาเนยบีบวิปครีมอย่างเยอะ หรือขนมปังชีส แบบะชีสท่วมท้น เหมือนมีแม่วัวอยู่ที่ร้าน

มีสมาชิก น้องแมวหลายตัวมาเป็นนางแบบให้ถ่ายรูปเพลินเชียว

จากนั้น เราเลือกจอดรถที่ร้านแล้วเดินไปวัดคงคาราม แค่ 200 เมตร ใกล้มว๊าก
ที่วัดคงคารามโด่งดังเรื่องของ ภาพจิตรกรรมฝาผนัง ซึ่ง สวยมากจริงๆ จำได้ว่า ที่ที่เคยไปแล้วภาพจิตรกรรมฝาผนังสวยๆ อายุไม่ต่ำกว่า 250 ปี
นอกจาก วัดร่องขุ่น จ.เชียงราย วัดภูมินทร์ จ.น่าน และ วัดในเมืองพุกาม ประเทศพม่า ก็เห็นจะเป็นที่นี่แหละ อุโบสถสวยงามจริงๆ

ความพิเศษของวัดนี้ เห็นจะเป็นวัดของพระยามอญ ซึ่งย้ายมาตั้งถิ่นฐานสมัยกรุงธนบุรี จะเห็นได้ว่ามีการสร้างเจดีย์ ภายในเสมา ในรั้วเดียวกับอุโบสถ
ซึ่งเราเคยเห็นที่เดียว คือวัดพระแก้ว และมาพบที่นี่ เจดีย์ทรงรามัญเดิมมีทั้งหมด 7 สถูป แทนเจ้าเมือง 7 องค์ ซึ่งสมัยก่อนเฉพาะเจ้านายชั้นสูง
เท่านั้นที่จะมีกำลังในการสร้างสถูปได้ ปัจจุบันคนไทย สร้างขึ้นมาอีก 1 สถูป รวมเป็น 8

ในส่วนของจิตรกรรมฝาผนังภายในต้องบอกว่าน่าเสียดาย ที่น้ำท่วมปี 54 ทำให้ภาพวาดด้านล่างของผนังพระอุโบสถละลายไปกับสายน้ำ
เนื่องด้วย สมัยโบราณใช้สีฝุ่น และสีจากธรรมชาติในการวาด แต่กระนั้น อุโบสถก็ยังคงงดงามทั้งนี้ วัดคงคารามได้ขึ้นทะเบียนกับกรมศิลปากรแล้ว

ซึ่ง ภาพจิตรกรรม ได้เล่าถึงพุทธประวัติตอนมารผจญ พุทธชาติชาดก ภาพสวรรค์ชั้นต่างๆ

หากเข้าชมพระอุโบสถแล้ว อย่าเพิ่งรีบกลับเพราะด้านในวัด มีพิพิธภัณฑ์พื้นบ้าน ซึ่งมีอายุมากกว่า 227 ปี

เป็นเรือนไม้ทรงไทย มีกุฏิ 9 ห้อง บานประตู หน้าต่างแกะสลักงดงาม 

ในส่วนนี้ ค่าธรรมเนียมบำรุงวัดคนละ 10 บาท โดยพิพิธภัณฑ์ จะเปิดให้เข้าชมในวันเสาร์ อาทิตย์และวันหยุดนักขตฤกษ์เท่านั้น แค่เจ้าหน้าที่ต้อนรับ อาจจะสลึมสลือสักหน่อย เราก็ปลุกเรียกกันได้ 

ภายในรวบรวมทั้ง เครื่องกระเบื้อง ผ้าไทย พระพุทธรูป
เครื่องดนตรี และพระไตรปิฏก ทั้งที่ได้รับบริจาคจากชาวบ้านในชุมชน เพื่อต้องการให้ของมีค่าถูกเก็บรักษาไว้ที่วัด ซึ่งไม่สามารถนำกล้องบันทึกภาพได้ เพราะเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของไทย สงวนไว้ให้เราบันทึกในความทรงจำเท่านั้น

ใกล้เที่ยงแล้ว ช่วงที่เราไปเป็นช่วงทานเจ มีโรงเจ ตรงศาลเจ้าแม่กวนอิมติดริมแม่น้ำแม่กลอง เดินลัดเลาะไปทางศาลาการเปรียญ ผ่านแกงค์เปตองประจำอำเภอ ก็จะเห็นโรงเจ เลยเป็นลาภปากของเราและชาวคณะ ซึ่งสามารถร่วมกันสมทบทุนเพื่อเป็นทุนให้ทำทานในครั้งต่อไปได้

ฝีมือ คุณป้า คุณยายนี้ช่างเด็ดดวง โดยเฉพาะของหวาน นารีจำศีล เอาใส่ปากอย่างรวดเร็ว จนลืมถ่ายภาพมา แหะๆ ถ้าพักอยู่ที่นี่คงได้มาฝากท้องอีกหลายมื้อเลย

จากนั้น ก็กราบลาหลวงพี่เจี๊ยบ ท่านได้สละเวลาพาเยี่ยมชมพร้อมประวัติความเป็นมาของวัดคงคารามโดยละเอียด สาธุ

 

เมื่อท้องอิ่มกำลังดี เราก็เดินทางต่อไปที่วัดขนอมใหญ่ โดยใช้เวลาไม่ถึง 10 นาที เปิด google map ขับผ่านวงเวียน ออกทางออกที่ 3 เลี้ยวขวาตามป้าย ตรงมาเรื่อย วัดอยู่ทางขวามือติดกับแม่น้ำ หรือถ้าสังเกตุจะเห็นน้องลิง ป้วนเปี้ยน นั่นแหละ แสดงว่ามาถึงวัดขนอนแล้ว

แนะนำว่าให้วางแผนมาที่นี่ วันเสาร์ หรือวันอาทิตย์ เพราะจะมีการแสดงหนังใหญ่ให้ดูฟรีๆๆๆๆๆๆ วันเสาร์ 10 โมง และวันอาทิตย์ 11 โมง ใช้เวลาแค่ 20 นาที รับรองว่าคุ้มค่ามาก เพราะมีรางวัลของยูเนสโก ปี 2550 มาการันตี หาข้อมูลดูได้เลยจ้า หนังใหญ่วัดขนอน

แต่เราไปวันหยุดนักขตฤกษ์ซึ่งตรงกับวันจันทร์ อดตามระเบียบ T_T ต้องอาศัยหยอดเหรียญตู้ 10 บาทดูหุ่นเชิดปลอมๆ แทน แต่เดี๋ยว อย่าเพิ่งเลี้ยวรถกลับ ด้านในมีพิพิธภัณฑ์หนังใหญ่ อันนี้ที่สุดของความขลัง สวย และ

สมเด็จพระเทพฯ ได้พระราชทานเงินส่วนพระองค์ เพื่อบูรณะพิพิธภัณฑ์หนังใหญ่วัดขนอน ซึ่งได้มีการนำหนังใหญ่ ซึ่งส่วนใหญ่ใช้หนังโค มาฉลุลวดลายต่างๆ แล้วลงสี และเคลือบเพื่อให้คงทน

หนังใหญ่ เกิดขึ้นในสมัยสุโขทัย ทั้งนี้ในสมัยรัชกาลที่ 5 พบว่ามีหนังใหญ่เพียง 2 แห่ง คือ ที่วัดขนอน จ.ราชบุรีและ วัดสว่างอารมณ์ จ.สิงห์บุรี เท่านั้น

หนังใหญ่วัดขนอน ได้มีการสร้างในสมัยรัชกาลที่ 5 ผู้ริเริ่มในการแกะสลักตัวหนังคือ ท่านพระครูศรัทธาสุนทร (หลวงปู่กล่อม) โดยร่วมกับครู และช่าง ชุดแรกที่สร้าง คือ ชุดหนุมานถวายแหวน

ปัจจุบันมีตัวหนัง 313 ตัว นับเป็นสมบัติของวัดที่ได้ร่วมกันรักษาสืบมา

เรือนไทยอีกด้านหนึ่งก็ถูกจัดเป็นพิพิธภัณฑ์ เช่นเดียวกัน เราสามารถไปเดินชมได้ ไม่เสียค่าใช้จ่าย ซึ่งหากท่านใดต้องการช่วยค่าบำรุงสามารถหยอดกล่องบริจาคได้ค่ะ

ในส่วนนี้มีการจัดแสดง พระราชกรณียกิจของในหลวงรัชกาลที่ 9 ซึ่ง ราชบุรี เป็นจังหวัดแรกที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 เสด็จประพาสและเยี่ยมราษฎร

ด้านในมีการนำหนังใหญ่มาแกะสลักเป็นพระบรมฉายาลักษณ์อีกด้วย ประทับใจในการจัดพิพิธภัณฑ์ทั้งสองอาคารมาก สวยงาม สมแล้วที่ได้รางวัล หากใครมีเวลาจำกัด แล้วอยากจะออกนอกเมือง มาเที่ยวชม ประวัติศาสตร์ ศิลปะ วัฒนธรรม พร้อม ร้านกาแฟ และอาหารอร่อยๆ นึกถึง อ.โพธาราม จ.ราชบุรีนะคะ

Iamtraveller

www.iluvtravelling.com

>
Facebook