วันเดียวก็เที่ยวได้ ตอน 2

จากความเดิมพาไปเที่ยวภาคตะวันตกกันแล้ว วันนี้พาไปเที่ยวภาคกลางกันบ้าง เป้าหมายหลักคือ พาเด็กๆ (หลาน) ไปเล่นน้ำตกกันคร่า

โดยประสบการณ์ เวลาพาเด็กเล็กไปเที่ยว อายุไม่เกิน 10 ขวบ ยังตกลงกันไม่ค่อยจะรู้เรื่อง กิจกรรมที่ควรจะต้องใส่เข้าไปในทริปคือ การว่ายน้ำ หรือ เล่นน้ำค่ะ ดังนั้นจะพาไปไหนก็ได้ ขอย้ำว่า ต้องมีกิจกรรมนี้ ไม่งั้น งานเข้าแน่นอน

และเด็กส่วนใหญ่ มากกว่า 99.99%ชอบเล่นน้ำมว๊าก

ทริปนี้หมวยเลยเลือก จุดหมายปลายทาง คือ จังหวัด นครนายก แผนการท่องเที่ยวที่วางไว้เป็นแบบนี้ค่ะ

แต่เอาเข้าจริงๆ ปรับเปลี่ยนใหม่ซะเยอะเลย เพื่อนลองดูที่หมวยวางแผนแล้วเอาไปปรับใช้กันได้นะคะ มาเล่าให้ฟังก่อนดีกว่า ว่าเกิดอะไรขึ้นทำไมต้องปรับแผน เกริ่นก่อนว่า สมาชิกที่ไปกับทริปนี้มีใครกันบ้าง

มีคุณพ่อ อายุ 77 ปีแล้ว ใช้ไม้เท้า เดินไม่ค่อยไหว ดังนั้นต้องมีคนดูแลอย่างใกล้ชิดเวลาเดินหรือเข้าห้องน้ำ

คุณแม่ คล่องตัวและเป็นตัวของตัวเองสูงมาช่วยกันดูหลาน

น้องสะใภ้ ต้องมาด้วยแน่นอน เพราะต้องมาดูและหลาน

หลานๆ ตัวป่วน 2 คน คนโต อายุ 6 ขวบ คนเล็ก อายุ 4 ขวบ ผู้ชายทั้งคู่ คนโตแสบซ่า และพูดเก่งมากกกก

ตัวหมวย และแฟน ผลัดกันขับรถ และคอยดูแลสมาชิกทุกคน

ครั้งนี้ได้เดินทางด้วยรถ x-trail ของนิสสัน ที่เอาเบาะด้านหลังขึ้น สามารถให้หลานๆ แสนซน มีพื้นที่ส่วนตัวเล่นกันได้ ทำให้พื้นที่ขนของเหลือนิดเดียว (นึกภาพรถตู้) จึงต้องจำกัดของ ด้วยเราไปเช้าเย็น กลับ พยายามจำกัดของกันหน่อย

ผู้ใหญ่นั่งตรงกลาง 3 คน เรากับแฟนนั่งหน้า พออัดๆ ไปกันได้แหละ ระยะทาง 94 กิโลจากกทม. ไปสถานที่แรก คือ อุทยานพระพิฆเณศ ใช้เวลาเดินทาง 1.20 ชั่วโมง ใน google จะขึ้นว่า Ganesha Park ไม่ต้องตกใจ อันเดียวกันจ้า

สิ่งที่ต้อง ระลึกไว้เสมอ เวลาพาเด็กและผู้ใหญ่ท่องเที่ยวคือ ทุก 1 ชั่วโมงควรต้องแวะปั้ม ไม่ว่าคนในรถจะบอกว่าไม่ปวด ไม่แวะ แต่เชื่อเถอะ ถ้าไม่แวะ งานเข้าแน่นอน ตอนแรกเราก็คิดว่าไม่เป็นไร ปรากฏว่าเกิน 1 ชั่วโมงมาแค่ 5 นาทีเท่านั้นแหละ หึๆ หาห้องน้ำกันแทบไม่ทันเยย เหอๆ

ที่สำคัญจากเดิม จะให้เด็กๆ นั่งเล่นกันด้านหลัง เอาเข้าจริงๆ คือ แย่งของเล่นกันเอง ตีกัน ร้องไห้ ฟ้องกันไปฟ้องกันมา โดยเฉพาะไอ้ตัวแสบ พี่คนโต แย่งของเล่นน้องมาซ่อนไว้จ้า สุดท้าย ต้องแวะปั้ม เพื่อจับทั้งคู่แยกกัน

งานเลยมาเข้าที่เราแทน เพราะไอ้แสบ หันเหความสนใจจากการแย่งของเล่นน้อง มาถามทุก 5 นาที ว่าเมื่อไหร่จะถึง พยายามหากุศโลบาย หลอกล่อให้บวกเลขทะเบียนรถแล้ว สุดท้ายก็พยายามมาสอนให้ดูนาฬิกา เราตกลงกันว่า

นี่นะคะ ตอนนี้ 10.30 แสดงว่า ตอน 11 โมง เป็นเลข 11 นะคะ เราจะถึงที่หมายแรก จะมีรูปปั้นช้างสีชมพูค่ะ เป็นรูปปั้นช้างที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยเลยนะคะ แถมมีรูปปั้นท่าทางต่างๆ กันอีก 108 ปาง(ท่า)แหน่ะค่ะ

ตื่นเต้นไปสักพัก 10.35 ก็ถามอยู่ดีว่าเมื่อไหร่จะถึง เมื่อไหร่หนูจะได้เล่นน้ำ TwT อ๊าคคคส์ โหมดรักเด็ก ลดลงขีดนึง

และแล้วในที่สุด เราก็ถึง สถานที่ท่องเที่ยวแรก อุทยาทพระพิฆเณศ คร่า รู้สึกจะดีใจอยู่คนเดียว 555

ถึงแม้เด็กๆ จะงอแงเพราะอยากไปเล่นน้ำมากกว่า แต่ตามแผนต้องแวะเที่ยวที่นี่ก่อนเพราะเป็นทางผ่าน ความตั้งใจคือ ลงรถปุ๊ปจะถ่ายรูปครอบครัวเก็บเป็นที่ระทึก

พอเอาเข้าจริงๆ หลานวิ่งไปคนละทาง ส่วนพ่อกับแม่หน่ะเหรอ

แม่เดินไปแผงนึง พ่อเดินไปแผงนึง ต่างคนต่างเก็งเลขที่ชอบกันอยู่ หะเพลีย

พระพิฆเณศ หรือ พระพิฆเณศวร ซึ่งถือเป็นเทพเจ้าแห่งความรู้ เทพแห่งปัญญา ดังนั้นส่วนใหญ่จะมาขอเรื่องการสอบ การเข้าเรียนต่างๆ ซึ่งที่อุทยานมี องค์ใหญ่ 2 ปางด้วยกัน หน้าตักกว้างถึง 9 เมตร สำหรับใครที่มาสักการะ มีความเชื่อกันอยู่ว่า ให้ไปกระซิบขอพรที่หนูของหนูด้านหนึ่ง แล้วเอามือปิดอีกด้านหนึ่งไว้ (กันออก เค้าว่ากันอย่างนั้น) เพื่อเตือนให้พระพิฆเณศให้พร คงจะมีคนขอเยอะ ท่านหนูก็เลยมาช่วยเตือน

แต่ถามว่าเราได้ขอพรหนูไหม ก็ไม่วิ่งจับหลาน วุ่นไปหมด สุดท้ายมีคนต่อแถวขอพรพราหมณ์เลยพาตัวแสบไปต่อแถว เพื่อขอพรด้วย เพราะกำลังจะสอบเข้าป.1 พอดี แต่แอบขำ ท่านพราหมณ์บอกให้เอามือแปะที่ตา เสร็จแล้วแปะที่ปาก หลานฉานน เอาไปแปะที่จมูกจ้า คงจะได้พรกันหรอกนะ

ใช้เวลาไม่นาน เราก็ไปต่อที่ร้านอาหาร เพราะเที่ยงกว่าพอดี ร้านนี้เราเล็งไว้แล้ว ชื่อ ร้านครัวป่ามะขาม Makham Forest ที่เดียวกันกับ Resort ตั้งใจในตอนแรกว่าจะเล่นน้ำที่นี่ คือดูในรูปที่รีวิวกันมาน้ำตื้นและไหลไม่แรง แถมมีที่นั่ง สะดวกกับผู้ใหญ่ กินไปดูเด็กเล่นน้ำไป น่าจะฟิน

เราพยายามโทรไปเบอร์ที่ระบุ ปรากฏว่าเป็นของรีสอร์ท และทางร้านอาหารไม่รับจองโต๊ะ เลยต้อง walk in แล้วไปลุ้นกันอย่างเดียว

ขับรถไม่เกิน 10 นาที ก็ถึงร้านอาหาร (ร้านอาหารติดริมถนน เลยทางเข้าอุทยานวังตะไคร้ไปเล็กน้อย) กลับรถตรงหัวโค้งถนน มีที่จอดเยอะพอสมควร และมีโต๊ะนั่งประมาณ 10-15 โต๊ะ

จอดรถปุ๊ป ลงไปส่องเพื่อเลือกโต๊ะ ต้องบอกว่า shock เล็กน้อย เพราะน้ำไหลแรงมากเลย เด็กๆ คงเล่นน้ำที่นี่ไม่ได้แน่ แต่ไหนๆ มาแล้ว ทานข้าวที่นี่ตามความตั้งใจเดิมก่อน แล้วค่อยไปเล่นน้ำที่อุทยานวังตะไคร้แล้วกัน

ทางลงไปแคร่ริมน้ำ ค่อนข้างชันและไม่มีราวจับ ต้องมีคนประคองพ่อไปตลอดทาง พ่อก็เก่งมาก เดินไหว ยกนิ้วให้เลย แนะนำว่าให้ถามทุกคนก่อนว่าจะเข้าห้องน้ำไหม เพราะห้องน้ำ ต้องเดินขึ้นและไปเข้าอีกมุมนึงของที่จอดรถ ถ้าเป็นคนแก่อาจจะไม่สะดวกเดินขึ้นเดินลงนะจ้ะ

หลังจากเลือกที่นั่งให้เหมาะแล้ว (เลือกโต๊ะแรกติดบันไดเลย) ก็สั่งอาหารกันคร่า อาหารเป็นอาหารไทย และอาหารอีสานปนๆ กันไป เราสั่ง ไก่ย่าง ไข่เจียวให้หลาน ส่วนต้มยำ ปลานึ่งให้ผู้ใหญ่ ผัดผัก และข้าวผัดอีกนิดหน่อย

ถ่ายรูปไม่ค่อยสวยเลย เพราะไม่มีเวลาหยิบกล้องเลย ได้แค่หยิบมือถือมาถ่ายเมนูอาหารให้ดูกัน

ที่นี่ปลาค่อนข้างสด ต้มยำรสแซ่บแม่ชอบ อาหารถูกปากทุกคนเลยแหละ บริการก็ดีใช้ได้ (ต่างจากที่มีคนวิพากย์กันในsocial) ถือว่าโชคดี ให้บริการรวดเร็วดีค่ะ เพราะมีเด็กๆ คงปิดเทอมมาช่วยกันเสริฟและรับออเดอร์ตลอด

ปัญหาของเราหลังจากที่หลานๆ เริ่มอิ่มกันแล้ว ก็อยากเล่นน้ำหน่ะสิคะ ยิ่งเห็นน้ำอยู่ตรงหน้า อยากจิกระโจนไปตลอดเวลา แต่ผู้ใหญ่ยังเอ็นจอยกับอาหารอยู่เลย เราเลยบอกว่า ต้องรอผู้ใหญ่ทานให้เสร็จก่อนนะคะ ถึงจะไปเล่นน้ำได้

หลานตัวแสบเลยหันไปหาอากง และถามว่า “ช่วยมั้ย” จากนั้นก็แบ่งข้าวเปล่ามาช่วยกิน และส่งเสียงเชียร์ อากง สู้ๆ อากง สู้ๆ เหลืออีก 2 คำแล้ว สู้ๆ อากง คงเพลียน่าดู

เช็คบิลมาเสร็จ ค่าเสียหาย 1,295 บาท สำหรับ ผู้ใหญ่ 5 คน เด็ก 2 ก็ถือว่าราคามิตรภาพ

เดินทางกันต่อไปที่น้ำตกวังตะไคร้ค่ะ ที่นี่เป็นอุทยาน ดังนั้นเสียค่าเข้า เค้าคิด ค่านำรถเข้า คันละ 150 บาท ส่วนคนในรถไม่ต้องเสียเพิ่มค่ะ ไปกันเล้ย

อุทยานค่อนข้างกว้าง เราสามารถขับรถ เพื่อเลือกทำเลเหมาะๆ บางช่วงน้ำตกอยู่ทางด้านซ้ายบ้าง ขวาบ้าง เราเลือก ทำเลที่ใกล้ร้านสะดวกซื้อ เพราะเผื่อพ่อจะเข้าห้องน้ำ หรือซื้อน้ำแข็งเพิ่มเติม จะได้สะดวก และเลือกที่มีแอ่งน้ำ ไม่แรง สำหรับเด็กๆ เล่นน้ำกันได้ จอดรถแล้วเดินต่อ เพื่อหาทางลงไปน้ำตกกันต่อค่ะ

ทางลงเป็นทางขั้นบันไดดิน ไม่มีราวจับนะคะ โชคดีมากที่พ่อพอลงไหว (ไม่ชันเกินไป) เลยลงไปนั่งริมน้ำตกดูเด็กๆ เล่นน้ำได้ สิ่งสำคัญมากๆ เราเตรียมมาจากกรุงเทพเลยคือ  เก้าอี้วิเศษ เราเตรียมเก้าอี้ค่อนข้างใหญ่ แข็งแรง กางให้พ่อนั่งโดยเฉพาะ ปูเสื่อ วางกระเป๋า และเสบียง แจ่มเลย

ข้อสำคัญคือ ต้องตกลงกับเด็กๆ ว่า จะเล่นน้ำได้ต้องไปด้วยกันกับผู้ใหญ่เสมอ ถึงแม้ว่าจะว่ายน้ำเป็นก็ตาม แต่ที่นี่ไม่เหมือนสระว่ายน้ำ น้ำแรง เราสามารถถูกน้ำพัดไปอีกแก่งได้อย่างรวดเร็ว

จากนั้นเราก็เช่าห่วงยางสีดำอันใหญ่ๆ ราคา 40 บาท ค่ามัดจำ 80 บาท ไม่จำกัดเวลา เพื่อให้เด็กๆ ไว้เกาะหรือขึ้นไปนั่ง ได้ค่ะ อ้อเสบียง เราเน้นเป็นผลไม้ น้ำหวาน และก็ขนมถุงนิดหน่อยกินแค่กันหิว น้ำแข็งซื้อที่ร้านในอุทยานได้เลย เราเอากระติกมาเอง เต็มกระติก คิด 15 บาท สบายๆ

เล่นน้ำกันเพลิน เวลาผ่านไปไวมาก 2 ชั่วโมงกว่า ตอนขึ้นจากน้ำ 14.30 แล้ว ห้องน้ำคิดค่าเข้าคนละ 5 บาท สามารถอาบน้ำได้นะคะ เป็นตักอาบ แต่ต้องนำสบู่และแชมพูไปเอง สุดท้ายกว่าจะได้ขึ้นรถ อากงกับหลานๆ ซื้อขนมกินอีกนิดหน่อย ก็ปาไปบ่ายสามนิดๆแล้ว

เราเลยต้องตัด วัดจุฬาจินดาราม กับ ที่วางแผนจะแวะร้าน กาแฟกับต้นไม้ออก เพราะร้านปิด 5 โมง ดูจาก google แล้ว กว่าจะไปถึง 5 โมงกว่า คงไม่โอเค เลยต้องเปลี่ยนแผนกันใหม่ เพราะดูทุกคนอยากของหวานกันเต็มที่

หาข้อมูลจาก อากู๋ แป๊ปเดียว สรุปเราเลือกมาที่ร้าน Tree house cafe ขับรถประมาณ 10นาทีก็ถึง

สถานที่ค่อนข้างส่วนตัว เป็นอาคารเรือนกระจกอยู่กลางสวน ไม่ต้องกลัวเด็กๆ วิ่งซนแล้วเจอรถสอยไป

ตัวร้านมีที่นั่งทั้งด้านในและด้านนอก ด้านนอก มีเป็นแบบเตียงผ้าใบชายหาดให้นอนเล่นด้วยนะ นอนเล่นใต้ต้นไม้ในสวนร่มๆ ลมเย็นๆ ต้องมีเคลิ้มบ้างล่ะ

ส่วนครอบครัวเรา เลือกนั่งด้านใน เพราะโต๊ะ เก้าอี้สะดวกกับผู้ใหญ่ในการลุกนั่งมากกว่า

เมนูมีให้เลือกทั้ง บิงชู ขนมปัง และไอศกรีม รวมถึง น้ำปั่น กาแฟต่างๆ เราสั่งกันมาหลากหลายเมนูมาก เอาให้อยู่ท้อง เผื่อต้องฝ่ารถติดเข้าเมือง

เมนูเสริฟมาสวย เหมือนในรูปเด๊ะๆ เลย แต่น่าเสียดายที่บิงชูใช้สตอเบอร์รี่แช่แข็ง ตอนเอามาเสริฟแข็งโป๊กๆ ลดความอร่อยไปครึ่งนึง ส่วนเมนูไอศกรีมซันเดย์ของเรา น้ำปั่น จัดว่ารสชาติใช้ได้

ค่าเสียหายประมาณ 500 บาท ถือว่าค่อนข้างแรงไปหน่อยกับคุณภาพ อ่ะๆ ให้ค่าสถานที่ เด็กๆมาเล่นชิงช้าข้างนอกกันสนุกสนาน

เราออกจาก ร้านกาแฟ ประมาณ 4 โมงนิดๆ ถึงกทม 19.30 รถค่อนข้างติดตรงองค์รักษ์ เด็กๆก็สิ้นฤทธิ์ หลับร่วงกันระนาว พอไม่มีเสียงเจื้อยแจ้วของเด็กๆ ผู้ใหญ่ก็พลอย ตาสลึมสลือไปด้วยเลย

สรุปค่าใช้จ่าย ค่าอาหารและสถานที่รวมค่าน้ำมัน ครึ่งถัง 2,760 บาท หารเฉพาะผู้ใหญ่ ตกคนละ 552 บาท

(ไม่รวมที่ชิงโชคที่วัดนะ 555) ถือว่าอยู่ในงบที่คุ้มค่าทีเดียว

วันเดย์ทริป กับครอบครัวตัวอ้วน จอมป่วน ก็จบลงแต่เพียงเท่านี้

ทริปหน้า เพื่อความต่อเนื่องเป็นทริปครอบครัว จะพาไปเที่ยวเมืองเหนือกัน จะวุ่นวาย สนุกสนาน อิ่ม ฟินแค่ไหน โปรดติดตาม

>
Facebook