วัดถ้ำเสือ
ความเดิมตอนที่แล้ว จบปิ้งไปด้วยความอภิรมย์ของคุณนายแม่ ที่ได้แช่น้ำแร่สมใจ เพิ่งมารู้ตอนเช้าว่าปะป๋าเหนื่อยมาก นอนมันทั้งชุดนั้นเลย ไม่ได้อาบน้ำ เง้อออ นี่ฉันทรมานป๊าหรือเปล่าเนี่ย
หลังจากเมื่อคืน คุณหลานลิงกัง ดราม่า อยากจะว่ายน้ำตอนสองทุ่ม วันนี้เช้าทุกคนสัญญาว่าจะยอมตื่นมาเล่นน้ำด้วย ดังนั้น ป้าอ้วนอย่างเรา ต้องรักษาคำพูด ตื่นแต่เช้าเปลี่ยนชุดว่ายน้ำ (แทบจะเอาร่างยัดลงชุดไม่ได้ TwT ถึงเวลาแล้วสินะที่ต้องเลิกหลอกตัวเองว่า อวบอ้วนกำลังดี) และเตรียมกล้องและยืดเส้นยืดสายก่อนแปลงร่างเป็น ปลาพยูน
ด้วยความชอบว่ายน้ำเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ได้นอนหงายมองท้องฟ้าในน้ำ อากาศไม่หนาวกำลังดี แดดยังไม่ค่อยมียูวีสักเท่าไหร่ กรอบสายตานอกจากตึก ตึก ตึก ถนน ถนน ถนน รถ รถ รถ ในเมืองหลวงแล้ว นานแค่ไหนแล้วนะ ที่ไม่ได้แหงนมองท้องฟ้า รู้สึกว่าเมฆมันสวยจัง ท้องฟ้าก็เป็นสีฟ้าสดใส ตั้งใจมั่นว่า กลับไปคราวนี้ ฉันจะพาร่างไปว่ายน้ำเป็นประจำให้จงได้
ว่ายน้ำเสร็จสรรพ ร่วมสองชั่วโมง ทานอาหารบุฟเฟ่ห์ที่โรงแรม มานั่งวางแผนกันว่าจะไปไหนดี ถกเถียงกัน ได้ข้อสรุปว่า เราจะไปถ้ำกระแซ จุดชมวิวและถ่ายรูปรถไฟริมแม่น้ำแคว แหมมาเมืองกาญจน์ ไม่ถ่ายรูปรถไฟ ดูเหมือนจะมาไม่ถึง แล้วจากนั้นแวะทานข้าวค่อยไปต่อที่วัดถ้ำเสือ ซึ่งเป็นทางผ่านอยู่แล้ว
ถ้ำกระแซ อยู่ห่่างจากที่พักประมาณ 2 ชั่วโมง เส้นทางหาได้จาก Google Map ไม่ยาก ป้ายบอกทางมีเป็นระยะ รถไฟจะเทียบชานชาลาประมาณ 11.45 รีบบึ่งรถสุดขีด พอจอดรถปั๊ป รถไฟผ่านหน้าไปพอดี ช้ำใจหนักมาก
เรายังไม่ลดละความพยายาม พาป๊า แม่และครอบครัวลิงกัง เดินไปตามทาง ประมาณว่าถ่ายกับป้ายรถไฟก็ได้ ป๊าเห็นเส้นทางหวาดเสียว แล้วขอตัวนั่งรออยู่แถวร้านอาหาร ในมือถือถุงเผือกทอดที่เพิ่งซื้อมา นั่งจกกินรออย่างมีความสุข
ที่เหลือเดินลุยไปกันต่อ เราเดินไปตามทางรถไฟ ด้านซ้ายจะมีถ้ำกระแซ ภายในถ้ำมีพระพุทธรูปให้สักการะ ด้านในเป็นทางตัน เราเดินเข้าไปได้พักเดียว เสียงเรียกบอกว่ารถไฟมา วิ่งออกมาจวนตัวมาก รถไฟผ่านหน้าไป ยกกล้องถ่ายได้ 3 รูป TwT กล้องยังปรับไม่ทันเสร็จเลย แถมที่น่าสงสารไปกว่านั้น รถไฟจะมีอีกทีตอนบ่ายสาม ตอนนั้นเพิ่งบ่ายโมงกว่าๆ
ยืนทำใจสักพัก ก็เดินตามรางต่อไปหาจุดถ่ายรูป กับสัมผัสกับความหวาดเสียวของเส้นทาง ไม่แปลกใจเลยที่มีคนมาเที่ยวเยอะ เพราะมันเป็นความ Amazing ของการก่อสร้างและประวัติความเป็นมา ของรถไฟสายมรณะ ด้วยด้านซ้ายเป็นหน้าผา ด้านขวาเป็นแม่น้ำ ตัวสะพานสูงขึ้นมามากกว่าตึก 3 ชั้น คิดดูว่าสมัยก่อน สร้างด้วยความลำบากแค่ไหน เดินไปจนสุดสะพาน รอบด้านเป็นป่าไม้สีเขียวขจี แหมถ้ารถไฟสีเหลืองมา ตัดกับสีเขียวจะเทพขนาดไหน ได้แต่มโนกันไป
รถไฟที่แล่น โดยสารได้จริงนะ คิดว่าสักวันต้องมาลอง น่าสนุกดี แต่อาจจะเลือกเป็นหน้าหนาวสักหน่อย แหะๆ ที่เป็นหมูดำ อยู่แล้ว จะได้เป็นเพียงหมูขาวก็ยังดี
ได้เวลาไปต่อ เราตั้งใจจะแวะทานอาหารที่ ร้านอาหารสวนธรรมชาติ ที่หาข้อมูลมาใครหลายคนแนะนำเป็นเสียงเดียวกันว่าอร่อยล้ำ เมนูแปลกใหม่หาทานที่ไหนไม่ได้ แต่ชีวิตต้องมีอุปสรรคกันบ้าง ไปถึงร้านตอนบ่ายสองนิดๆ อาหารหมด ม่ายยยยย
ฉันจะมาซ่อม (อีกแล้ว) เลยเปลี่ยนเป็นร้าน ชุกโดน ร้านนี้ก็แซ่บเหมือนกัน จัดเป็นร้านอาหารเมืองกาญจน์ ที่ควรมาลิ้มลองอย่างยิ่ง ร้านอยู่ติดริมน้ำ อากาศดี ปลาสด แกงส้มรสกลมกล่อม ราคาก็กำลังดี คะแนนเต็ม 5 ให้ 4 ดาว
มาต่อกันที่ไฮไลท์ที่สุดท้ายของทริปนี้ วัดถ้ำเสือ วัดที่ตั้งอยู่ที่อำเภอท่าม่วง เป็นวัดที่มีพระพุทธรูปปางประทานพร องค์ใหญ่ที่สุดในจังหวัดกาญจนบุรี ด้วยแรงศรัทธาของชาวบ้านและหลวงปู่ชื่น เจ้าอาวาส
โดยท่านละสังขารแล้ว ปัจจุบันสังขารท่านไม่ย่อยสลายใส่โลงแก้วให้ผู้คนที่ศรัทธามากราบไหว้ ด้านหน้าทางขึ้นเป็นบันไดนาค 157 ขั้น แต่เดี๋ยวก่อน หากกลัวข้อเข่าจะเสื่อม มีบริการรถกระเช้า แค่คนละ 10 บาท ก็เสียวได้ เพราะชันได้โล่ 555
มาถึงแล้วยังไงก็ต้องขึ้นไปสักการะให้ได้ ไหว้องค์พระประธานแล้ว ด้านขวาเป็นพระอุโบสถอัฏมุข ด้านซ้ายเป็นวิหาร แถมด้วยเห็นเก๋งจีนของวัดถ้าเขาน้อยเป็น background อีกต่างหาก จะสวยงามแค่ไหน ให้ภาพบรรยายแทนก็แล้วกัน
ด้านหลังเมื่อขึ้นบันไดไปจะเห็นวิวทุ่งนาแบบพาโนราม่า สุดลูกหูลูกตา โอ้ย…ฉันรักเมืองไทย เที่ยวกี่ครั้งเธอก็มีเรื่องให้ฉันประทับใจทุกครั้ง
เกือบจะห้าโมงเย็นแล้ว ยังไม่อยากจะกลับเลย อยากจะเก็บภาพอีกหลายมุม แต่แสงอาทิตย์เริ่มจะลาลับขอบฟ้า หม่อมแม่และป๊าคงจะเพลียเต็มที่แล้ว ไว้เราค่อยมาเที่ยวกันใหม่ เมื่อสามารถรวมทีมได้เนอะ
ทริป กาญจนะจ้ะบุรี 2 วัน 1 คืน จึงจบด้วยประการฉะนี้ หวังว่าจะเต็มอิ่มกับสถานที่ท่องเที่ยวโดนๆ ร้านอาหารอร่อย กันนะคะ
# I am traveller