ความเดิมตอนที่แล้ว
ด้วยความงก เอ้ยไม่ใช่ หารถเช่าไม่ได้ เราเลยต้องระเห็จมา บขส.อินเดีย ด้วยความอนุเคราะห์จากโรงแรมที่เขียนชื่อท่ารถเป็นภาษาฮินดู และภาษาอังกฤษ พร้อมทำหน้าพวกแกจะไหวเหรอ
สภาพรถกลางเก่า กลางใหม่ ใจเต้น ตุ้ม ๆ ต่อมๆ ตรูจะรอดมั้ยเนี่ยสมาชิกร่วมทริปชิลล์มาก ดื่มด่ำ ถ่ายรูป คุยกันกิ๊ก๊ะ สนุกสนาน เราก็ผ่อนคลายตามไปด้วย ยิ่งพอพนักงานเก็บเงิน เก็บค่าโดยสารแค่ 20 รูปีต่อคน หรือ 10 บาทโดยประมาท ต่อมเริงร่ายิ่งแตก ถ้าเช่ารถวันละ 3,300 รูปี นี่เสียค่ารถแค่ 20 วะฮ่ะๆๆ ประเทศไทยไม่ขาดดุลแล้ว
คนในรถ อาจจะรำคาญตื่นเต้นกับกะเหรี่ยงสามคนหลังสุด แต่พอรถแล่นไปพักนึง ความสนใจทั้งหมดก็อยู่ที่สองข้างทาง บรรยากาศโดยรอบ ตึกถูกแทนที่ด้วยนาข้าว ลมพัดปะทะหน้า (อยากบอกว่าช่วยมาก หากความอดทนเรื่องกลิ่นต่ำ) รถที่ไปกัญจีปุรัมไม่แน่นมากเท่าไหร่ นั่งไปสักพัก ความง่วงก็เข้ามาเยือน หลับๆไปชั่วโมงนึง ภาพที่เห็นเริ่มเป็นชุมชน สะบัดหน้าสองที มองหน้ากระเป๋า ส่งสายตาแบบ พี่คะ หนูลงตรงไหนอ่า
กระเป๋าหลบสายตา คงยังไม่ถึงล่ะมั้ง แต่เพื่อความมั่นใจ ควัก iPad มาเปิด google map ว่าเราอยู่จุดไหน ห่างจากเมืองกัญจีปุรัม โรงแรมที่พักมากมั้ย เออ …เฮ้ย ใกล้แล้ว ข้อดีของการ save สถานที่ท่องเที่ยว ที่ตั้งโรงแรมเก็บไว้ ทำให้ไม่ต้องมีสัญญาณอินเตอร์เน็ต ก็สามารถดูแผนที่ได้
ผู้คนเริ่มทยอยลงจากรถตามรายทาง และรถวกมาจอดเหมือนเป็นตลาด คนขวักไขว่เชียว อ๋อไม่ใช่ ท่ารถบขส นี่เอง หันไปมองหน้ากระเป๋าอีกที พยักหน้าหงึกๆ อ้า..ไม่ผิดแน่แล้ว เตรียมแบกกระเป๋าขึ้นบ่า พร้อมลงจากรถ
สิ่งแรกที่มองหาคือ ของกิน หิวโซมาก จะบ่ายสองแล้ว ดูแผนที่ โรงแรมอยู่ไม่ไกลนัก หาของกินก่อนแล้วค่อยเข้าโรงแรม กะเหรี่ยงไทยเดินงงๆ เข้าไปหาของกินด้านใน ผ่านร้านอาหารท้องถิ่น ผัดแป้งโรตีอยู่ด้านนอก ควันฉุย น่ากิน มองเข้าไปในร้าน คนนั่งเต็มร้านเลย อึ้บ..ไว้ก่อน เดินให้ทั่ว เดี๋ยวค่อยวนมา จองๆ ด้วยสายตาไว้ก่อน
ด้านในตลาดมีร้านซ่อมของจิปาถะ ร้านขายคริกเก็ต ที่แปลกตามากเห็นจะเป็น รถเข็นรับจ้างรีดผ้าสาหรี โดยใช้เตารีดโบราณ เก๋อย่าบอกใคร
ที่อินเดียมีวัว มากกว่า น้องหมา แต่พอๆ กับแพะ เดินเล่นบนท้องถนนไม่กลัวรถและคน เรียกว่า อยู่ร่วมกันอย่างสันติ ส่วนใหญ่ในเมืองตัวจะไม่อ้วนมาก นอกเมืองจะตัวกลมสมบูรณ์กว่า เพราะมีหญ้า ที่โล่งให้เดินเล็มมากมาย
เดินไปสักพัก ด้านในไม่มีของกินเลย เราเลยเดินย้อนกลับมาร้านเดิม เข้าไปในร้านได้แต่ไม่มีที่นัก ท่าจะเด็ดจริง แต่นาทีนั้น รอไม่ไหวและ มองเห็นร้านขายชา ขอแวะพัก ดื่มน้ำก่อนแล้วกัน
หน้าร้านมีกาทองเหลือง เหมือนร้านขายบัวลอยน้ำขิงบ้านเรา แต่ชงชาขาย (มันคือชาไทยร้อน หรือชาสีเหลืองแต่มาในรูปแบบไม่ใส่น้ำแข็ง) เหลือบไปเห็น โดซา รูปร่างเหมือนปาท่องโก๋ จัดมา คนละ 2 ตัว สักพักพี่แกก็เอาแกงมาเสริฟคู่
หันไปเห็นสาว โต๊ะข้างๆ เปิดข้าว พี่คนขายเอาแกงมาโปะๆ จานเป็นใบตองล้างน้ำสะอาด โอ้ว…คลาสสิคที่สุด และแน่นอน เปิปมือจ้า
หญิงไทยใจงามอย่างเราจะพลาดได้ไง แต่เพื่อสุขอนามัยที่ดี เดินไปล้างมือ และเอาทิชชูเปียกที่อุ้มชูมาจากเมืองกรุงเช็ดๆ พร้อมลุยและ ส่งสายตา พร้อมชี้โต๊ะข้างๆ และยก 2 นิ้ว เป็นอันเข้าใจกันว่า ลูกพี่จัดมา 2 ชุดจ้า เพราะดูปริมาณแล้ว ถ้ามา 3 เท่ากับจำนวนคน คงนอนอืดที่ร้านเป็นแน่
แต่พี่คนเสริฟ ก็ดู ขัดใจจอร์จ ไรกัน มา3 สั่ง 2 บอกผิดเปล่า เราส่งสายตาพร้อมบรรยายว่า แค่ 2 น้องก็จุกแล้วล่ะพี่ พี่เค้าเลยจัดข้าวมาสอง แต่แกงเป็นแบบ refill เติมไม่อั้น จ้วงๆๆ โปะๆ โอ้ยโย่ะ เต็มจานเลยฮ่ะ แล้วเปียกชุ่มนี้ จะคีบมือขึ้นมั้ย
ตัวช่วย หญิงไทยไม่หมดแค่นั้น โต๊ะข้างๆ ได้ข้าวเกรียบ ทีนี้แค่สบตา ข้าวเกรียบก็มายัดใส่มือเลยจ้า สบายและ บิข้าวเกรียบ (หน้าตาและรสชาติเหมือนข้าวเกรียบว่าว แต่ไม่หวาน) หักตักข้าวและแกงกิน อย่างถึงรสชาติ นี่สินะ อินเดีย อร่อยเว้ยเฮ้ย
เติมแกงไปรอบที่สาม หน้าตาแต่ละคนฟูอ้วน เพิ่มขึ้น ยังไม่พอ ขอสั่ง ชาไทยร้อนล้างปากอีกคนละแก้ว ฟินเลยทีนี้
หลังจากท้องอิ่ม ได้เวลาออกเดินทาง ตามหาโรงแรมของเราแล้ว GRT Regency เซฟแผนที่ไว้ใน google map เรียบร้อย ดูแล้วไม่ไกลมาก เดินไหว จัดไปพี่น้อง
ระหว่างทางเรา ชมนกชมไม้ คงเพราะอิ่มท้องและรู้แน่นอนแล้วว่าโรงแรมอยู่ไม่ไกล เดินไป ชมร้านค้าข้างทาง แวะถ่ายรูปเป็นระยะ
และแล้ว เราก็มาถึงโรงแรม ในเวลา 16.15 น. เรียกว่าหมดสภาพ หน้าตาดูไม่ได้เลย แต่เรื่องยังไม่จบ แค่นั้น พอเราควักเอกสารการจองโรงแรมยื่นให้เจ้าหน้าที่ ปรากฏว่า
ที่เราจองไว้ 2 คืน เป็น GRT Regency ที่เมือง Tiruttani ไม่ใช่เมือง Kanchipuram ซึ่งอยู่ห่างจากเมืองนี้ไปอีก 75 กม. ใช้เวลาเดินทาง 2 ชั่วโมง
โอ้ว….มองหน้ากันแบบ งงๆ อึ้ง…………….ทำไรไม่ถูกอยู่พักนึง ก็ตัดสินใจว่า นอนมันที่นี่ล่ะ พรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่ โรงแรม GRT Regency คิดราคาที่พัก ราคาเพิ่มขึ้นตามจำนวนคนด้วย
เช่น ห้อง Single คือ นอนได้คนเดียว (ถึงแม้ขนาดห้องจะเท่ากันก็ตาม) ห้อง double นอนได้ 2 คน เรามา 3 คนต้องจ่ายเพิ่มเตียงเสริมต่างหาก สิริรวม จ่ายไปทั้งหมด 5,181 รูปีจ้า …. ฐานะยากจนมากขึ้นไปอีก
อาบน้ำ และบรรจงใส่ชุดเดิม YwY คือเอาชุดมาแค่นี้ ไม่งั้นกระเป๋าหนักเกิน ฟ้าเริ่มมืดแล้ว ออกไปท่องราตรีกันหน่อย หาอะไรใส่ท้อง พอให้พยาธิเริงร่าบ้าง
เดินผ่านร้านขนมหวาน เข้าไปเล็งๆแล้วก็ล่าถอยออกมา เพราะดูแป้งมากมาย มื้อกลางวันยังย่อยแป้งไม่เสร็จเลย แต่กว่าจะได้เดินออกมา ก็ผลัดกันถ่ายรูปคู่กับพนักงานในร้านไปหลายรูปเลย
เกือบจะ สองทุ่มแล้ว แต่กิจกรรมของคนอินเดียยังมากล้น ไม่รู้สึกเปลี่ยวหรือไม่ปลอดภัยเลย แต่ไม่ประมาท เราก็ไม่เดินตามซอยเล็ก อาศัยเดินเล่นเลาะเป็นเส้นตรงไปตามถนนใหญ่
เดินเก็บภาพ ไปตามท้องถนน เจอน้องวัว เดินเปะปะใกล้ถนนใหญ่เหลือเกิน ชวนหวาดเสียว ยกกล้องขึ้นถ่าย ได้ภาพที่ชอบมากภาพหนึ่งในทริป หน้าตาวัวดูสดใส คงเพราะรู้ว่า ฉันไม่ถูกกินแน่ๆ ใช่ไหมล่ะ
ใช้พลังงานไปได้หน่อย ท้องก็ร้อง เดินหาของกินละแวกนั้น เจอร้านอาหารร้านนึง แวะสักหน่อย กะว่าจะกินคนละนิด พอให้หลับสบาย แต่ปรากฏว่าเจอขุมทรัพย์
เพราะมัน “อร่อยเหาะ” แหม ใช้คำนี้คงไม่ผิด เห็นรีวิวคนอื่น หากมาอินเดียใต้ ไม่รู้จะทานอะไร และเบื่ออาหารอินเดีย ให้สั่ง Chicken Garlic ใช่มะ
เราได้เปิดเมนูใหม่แล้ว อร่อยไม่แพ้กัน นั่นคือ แต่ แด้ แด่ม Chicken Noodle อร่อยมาก มีเครื่องเทศ เผ็ดๆ นิดหน่อย เส้นเหนียวนุ่มผัดกับผัก ถั่วงอกและเครื่องเทศ และที่สำคัญ ไก่ปรุงรส อร่อย นัว เป็นเมนูเด็ด ของทริปนี้เลยก็ว่าได้
พอสั่งคิดเงิน ก็ต้องประหลาดใจ เค้ามี ไอ้เม็ดๆ สีขาวๆ มาพร้อมช้อนและทิชชู หยิบชิม เอ้ย อร่อยอ่ะ มันคือลูกอม เคี้ยวกรุบๆ รสมินท์ ล้างปากแก้เลี่ยนได้ดี ทิชชูพี่ให้น้องมาแล้ว งั้นขอห่อเม็ดนี้กลับโรงแรมล่ะนะ
คืนนี้ต้องนั่งทำการบ้าน เที่ยววัดในเมืองกัญจีปุรัมเสร็จ หาข้อมูลเดินทางเพื่อจะไปเมือง Tiruttani ยังไงก็ต้องไปใช้สิทธิ์โรงแรมที่จองไว้ให้ได้ มันอยู่ส่วนไหนของอินเดีย
เมือง Tiruttani เมืองที่ไม่รู้จัก หาข้อมูลในอินเตอร์เน็ต มีแค่ 2 เวปเป็นภาษาอังกฤษ เมืองที่คนไทยยังไม่เคยมีใครรีวิว จะเดินทางไปยังไง … นั่นสินะ … นั่งรถมาเมืองนี้ได้ จะไปต่ออีกสักเมืองจะเป็นไร … ไม่ยาก ธรรมด๊าาา ยักไหล่หนึ่งที
แล้วในทริปนี้ การเดินทางที่สนุก และ มีเรื่องราวให้จดจำมากที่สุด การเจรจาข้ามชาติ ระหว่าง หญิงไทยพูดอังกฤษกระท่อนกระแท่น พร้อมเดอะแกงค์ กับช่างเย็บผ้า พูดฮินดู เมือง Tiruttani หรือ “ตริรู๊ดตรานี่” โปรดติดตามตอนที่ 3 >_< เร็วๆนี้