เที่ยวอินเดีย เชนไน ตอนที่ 3.1
ความเดิมตอนที่แล้ว
เมื่อตัดสินใจอย่างแน่วแน่แล้วว่า “ไปตายเอาดาบหน้า” เอิ่ม … นี่เรียกว่า ตัดสินใจแล้วใช่ไหม ….ขอพูดเลยว่า เป็นอย่างนี้ทั้งทริป 555
ตื่นเช้ามา พลังชีวิตเพิ่ม อาบน้ำแต่งตัวเสร็จ เริ่มแหวกม่านชมวิวเมืองกัญจีปุรัม ตื่นกันยังจ้ะ คนอินเดีย …. ปรากฏว่าสิ่งมีชีวิตแรกที่เห็น คือ น้อง “ลิง”
เอ้ย…มาจากไหนเนี่ย อ้อ ตอนเข้ามาที่ห้องเมื่อวาน เห็นกระดาษใบหนึ่งที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง บอกว่า อย่าเปิดหน้าต่างทิ้งไว้นะจ้ะ ระวังลิงเข้ามาขโมยของ อ่านผ่านๆ ไม่คิดว่า น้องลิงจะมีจริง นี่มันกลางเมืองนะ แหมๆ เกือบถูกฝูงลิงรับน้องซะแล้วสิ
ลงไปห้องอาหาร อาหารเช้า อินเดียล้วน ยังดีหน่อยที่มีสลัดผักและผลไม้ให้ทานบ้างเล็กน้อย กลิ่นตัวเวลาเข้าห้องน้ำ เริ่มใกล้เคียงกับคนอินเดีย กลิ่นเครื่องเทศมาเต็ม ความคุ้นเคยทำให้เติมไปสองรอบ จนพนักงานคนหนึ่ง เห็นเรา Enjoy Eating มาก เดินมาถามว่า Are you Chinese? เราบอกว่าไม่ใช่ ไม่ยอมแพ้ Are you Korean?
เฉลยไปเลยแล้วกัน Thailand จ้า ทำไมเหรอ หน้าตาเราไม่เหมือนคนไทยเหรอ พนักงานบอกว่า “โอ้ย … ถ้าเป็นคนไทย ไม่กินอาหารอินเดียหรอก เค้าจะแพ็คอาหารจากไทยมากิน และให้เราอุ่นทานมากกว่า” เอิ่ม…จริงเหรอ? คือฉันแปลกใช่ไหมล่ะ ….แต่อาหารอินเดียของคุณอร่อยจริงๆ นะ ฉันEnjoy Eating มาก หลักฐานชัด กินเกลี้ยงจาน พูดจบ เอาชาร้อนมาเสริฟให้อีก อืม…อร่อยอ่ะ ของฟรีมีในโลก จริงๆ นะ
ท้องอิ่ม Check Out เจอราคาโรงแรม ดูรายละเอียดแล้วหงายเงิบ นอกจาก Luxuary Tax แล้ว ยังโดน E-Comm Tax มันคือไรว้า และ xx Tax อีก ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ทำไรไม่ได้ ควักบัตรเครดิต รูดปึ๊ดๆ ราคาห้อง 5,130 รูปี
ถึงแม้ว่า เราจะไม่รู้ว่า เมือง Tiruttani เป้าหมายของเย็นวันนี้ว่าเป็นอย่างไร คงต้องพักไว้ก่อน เพราะตอนนี้ขอแบกกระเป๋าเที่ยว เมืองกัญจีปุรัมก่อนแล้วกันเนอะ หาข้อมูลมามี 3 ที่ที่ต้องไปแน่ๆ ดูระยะทางไม่สามารถเดินได้ทั่วภายในครึ่งวัน เลยเรียกรถสามล้อ ตกลงราคากันที่ 500 รูปี
ไม่แพงมาก จัดไป กลัวๆ เหมือนกันว่า เอากระเป๋าเดินทาง ฝากไว้บนรถ จะหายไหมนะ? … แต่จะให้แบกกระเป๋าไปเที่ยวด้วย ก็ไม่คล่องตัวเท่าไหร่ วิธีการคลาสสิคที่เราทำคือ เอาไว้ในรถแหละ แล้วเรียกพี่คนขับพร้อมแจกส้มที่ซื้อจากตลาดเมื่อวานให้คนขับ ประหนึ่งมันคือของล้ำค่า ที่คิดว่าจะซื้อใจพี่เค้าได้ ในความเป็นจริง ทำเพื่อความสบายใจของเรามากกว่า
รถตุ๊กๆ จอดข้างๆ ตัววัด ได้เลย เดินเข้าไปด้านในได้เลย ไม่ต้องเสียค่าเข้า “วัดไกรลาสนาถ” ตัววัดทำจากหินทราย สร้างขึ้นเพื่อถวายสักการะพระศิวะ ขนาดไม่กว้างมาก แต่หากดูรายละเอียดจะเห็นว่า หินที่แกะสลักก้อนใหญ่มาก ทำให้เห็นถึงความตั้งใจของคนในสมัยก่อน รวมถึงความเชื่ออย่างเข้มข้นในเทพเจ้า
เราได้รับการดูแลอย่างดีจากไกด์ท้องถิ่น ที่พยายามเล่าถึงความเป็นมาของรูปปั้นตามซอกต่างๆ ว่าหมายความถึงอะไร ซึ่ง จะมีทั้งพระวิษณุ พระศิวะ และพระพรหม โดยบางส่วนยังมีภาพเขียนสีสมัยโบราณ ที่ยังคงสีสดใส พอให้เราได้เห็นรายละเอียดความสวยงามในอดีต อีกทั้งยังเป็นวัดที่ได้รับการยอมรับ และเป็นมรดกโลกในปัจจุบัน
เราใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ก็สามารถเดินเที่ยวจนทั่วบริเวณ ให้สินน้ำใจไกด์ไป 100 รูปี หากคนที่เคยมาอินเดีย น่าจะเคยเจอพฤติกรรมการขอเงินเพิ่มเกือบทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นค่าไกด์ หรือ ค่ารถแท็กซี่ เราสามารถเลือกที่จะปฏิเสธอย่างสุภาพและนุ่มนวลได้ ทริปเรายากจน 100 รูปี พอและ
ขึ้นรถไปต่อกันที่ วัด Sri Ekambareswarar เป็นวัดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในเมืองกัญจีปุรัม ทางเข้าวัด หรือ โกปุลัม มีขนาดสูงถึง 59 เมตร กับตัวเทวาลัยค่อนข้างไกลกัน เราถอดรองเท้าไว้ที่รถ แล้วเดินเท้าเปล่าเข้าไปด้านใน
ด้านในมีระเบียง 4 ด้าน ที่มีทางเดินไปสู่ห้องโถง โดยรอบระเบียงประกอบไปด้วยเสาหินขนาดใหญ่แกะสลัก และด้านซ้ายมีการแกะสลักหินเป็นตำนานที่เกี่ยวข้องกับเทพเจ้าต่างๆ
เดินเข้าไปด้านในเป็นโถงใหญ่มาก เราสามารถนำกล้องเข้าไปได้ โดยเสียค่าธรรมเนียม
เดินเข้าไปด้านใน ผู้ไม่ได้นับถือศาสนาฮินดู เดินรอบนอกของศิวาลัย ซึ่งเป็นโถงขนาดใหญ่ ตามมุมต่างๆ มีรูปปั้นเทพเจ้าและพรามหณ์ทำพิธีกรรม สวดมนต์ขอพรให้ผู้ที่ศรัทธา
ตลอดทางเดิน พื้นวาดโกลัม ได้สวยงามมาก อดไม่ได้ที่จะเก็บภาพไว้หลายมุม เพราะสีสันสวยงามตัดกับกำแพงหินสีเทาเข้มได้ดี
ผู้มีศรัทธา นอกเหนือจากคนอินเดีย มีชาวต่างชาติที่มาด้วยความศรัทธา เป็นหมู่คณะ เป็นภาพที่ทำให้อิ่มอกอิ่มใจ รู้สึกว่า ความสวยงามของความศรัทธา ไม่มีพรมแดนจริงๆ
เราเดินครบ 1 รอบ ทั้งสี่ด้าน ออกมาด้านนอก ก็ขอถ่ายรูปกับพี่ๆ ชาวอินเดียและเด็กๆ อีกพักนึง แล้วก็ถึงเวลาผจญภัยต่อ ที่ดินแดนที่รู้จักน้อยที่สุดในทริปนี้ Tiruttani
พี่ตุ๊กๆ มาปล่อยเราที่ท่ารถเมือง กัญจีปุรัม ที่เดิม เราเริ่มคุ้นเคย ตรงดิ่งไปที่คนนั่งรอ
ณ ตอนนี้ พร้อมมาก มาลุยกัน Tiruttani … ถามทาง พี่คนที่หนึ่ง ทำหน้าคิด Tiruttani เหรอ? คันนั้นหน่ะ! สีเขียวๆ กำลังจะออก ขึ้นคันนี้แหละ เราก็แบบ หน้าตาแกไม่มั่นใจ เอ้า ถามคนที่สอง พี่แกดูเก๋า เอ๊ะ … ยืนใกล้ๆ มีกลิ่นเหล้าเล็กน้อย … ตรู จะรอดไหมเนี่ย พี่แกยืนยันชี้ไปคันเดิม คนข้างๆ พยักหน้าหงึกๆ ถามครบ 3 คน ตามสูตรที่คิดขึ้นเองแล้ว ก็จัดไปสิคะ
ค่ารถจำแน่นอนไม่ได้แล้ว เพราะทริปนี้หลายต่อเหลือใจ คร่าวๆ 3 คน 42 รูปี เป็นเศษอีก แล้วทั้งเนื้อตัว มีฐานะร่ำรวยกันทั้งนั้น ไม่มีเศษค่ะ พี่กระเป๋า แกส่ายหัวแล้วเดินจากไป รู้สึกผิดเล็กน้อย อยากจะเอาแอปเปิ้ลแทนเศษสตางค์เสียจริง แต่นึกๆ ไปแล้ว อ้อ พี่แก ส่ายหัว แปลว่า โอเคร๊ …. ถ้าพยักหน้า แปลว่า ไม่โอเค … แหม คนอินเดียใจดีจริง ไม่รู้ว่าพี่แก ระอา หรือว่า ปล่อยๆ กะเหรี่ยง 3 คนนี้ไปเหอะ หน้าตาดูไม่รู้เรื่อง 555
ในตอนที่แล้ว ชื่นชมคนขับรถในใจ แต่รอบนี้ …. ไม่อยากจะ Said แบบว่า ขับรถซิ่งมาก 203 นี่อนุบาลไปเลย เรียกว่าไม่ใช่แค่พี่ไทยเสียว ดูเหมือนคนอินเดียก็จะ เจริญพร พี่คนขับ ขนาดเอากระเป๋า วางบนตัก เจอเนิน ตัวยังกระเด้งกระดอนได้ พอเสียงเริ่มดังหนาหู พี่คนขับดูจะลดความรุนแรงลงบ้าง พอให้เราได้สนใจสิ่งรอบข้างบ้าง
รถไม่ได้วิ่งตรงตามเส้นทางถนนหลัก และเลือกที่จะวิ่งลัดเลาะไปตามหมู่บ้าน เพื่อรับคน มองไปอีกที คนเยอะขนาดห้อยโหนซะเต็มรถเลย
เราใช้เวลาร่วม สองชั่วโมง ถึงแม้รถจะค่อนข้างซิ่ง ตัวกระดอนไปตลอดทาง พอผ่านชั่วโมงแรกไป ก็เริ่มจะชิน ลมเย็นๆ พัดผ่านหน้า แอบงีบเป็นระยะๆ ในที่สุดเราก็ถึงที่หมาย 555 รอดแล้ววุ้ย Tiruttani … มาถึงแล้วจ้า คนไทยมั่วเก่งไม่แพ้ชาติใดในโลก
คงต้องมาต่อ ตอนที่ 3.2 เมืองนี้เป็นที่สุด ของที่สุด อาหารอินเดีย ที่ผ่านมาธรรมดาไป มื้อนี้ พื้นถิ่นสุด สุด และทิ้งตอนต่อไปด้วยรูปนี้ ชุดอินเดียเจ้าปัญหา ที่เจรจาต่อรองกันร่วมชั่วโมง กว่าจะได้มา เป็นการเจรจาข้ามชาติ ระหว่าง ไทย และ อินเดีย กันเลยทีเดียว 555 โปรดติดตาม ตอนที่ 3.2 การเจรจาข้ามชาติ