เที่ยวฮอกไกโด ฮาโกดาเตะ
ไม่พูดพร่ำทำเพลง เริ่มกันต่อที่ เมืองฮาโกดาเตะ หลังจากที่เที่ยวจนมืดค่ำ และหมดแรง เกินกว่าที่จะขึ้น Rope Way ไม่อยากจะเอาร่างฝ่าอากาศหนาวออกไป เลยตกลงร่วมกันว่า ผู้ชายไปแช่ออนเซ็น ส่วนฉานนอนในห้องอุ่นๆดีกว่า
เช้ามาเลยสดชื่น แจ่มใสพร้อมลุยตลาดเช้ากันแว้ว ออกจากที่พัก เดินไปรอ รถรางสาย 2 เพื่อเอากระเป๋าไปฝากตู้หยอดเหรียญที่สถานี JR กันก่อน ช่วงเช้าอากาศเย็นสบาย เมืองฮาโกดาเตะ ค่อนข้างเงียบสงบ ผู้คนเหมือนจะยังไม่ตื่น แต่ในความจริงแล้ว ประชากรไม่หนาแน่น ทำให้สถานที่แต่ละแห่งผู้คนไม่ค่อยพลุกพล่าน
อากาศเหมาะกับการออกกำลังกายมาก เห็นคนวิ่งมาแต่ไกลแล้ว ตามมาด้วยแกงค์ชอปเปอร์ น่าอิจฉาอากาศบ้านเมืองเค้าจริงๆ เย็นสบายเหมือนเปิดแอร์ทั้งเมือง
ยืนรอไม่นานรถรางก็มา ลงสถานีเดิม Hakodate Ekimae ชั้นสองของJR มีที่รับฝากกระเป๋าหยอดเหรียญตู้ละ 700 เยน ยัดเป๋าเป้ได้ 2 ใบแบบแออัด ฝากได้ 4 ชั่วโมง (จำระยะเวลาแน่นอนไม่ได้ แต่ด้วยไปเดินตลาดแป๊ปเดียว เลยไม่มีปัญหา) จากนั้นก็เดินตัวปลิว ไปทางด้านขวาของ JR เดินข้ามถนนไปตลาดเช้า หรือ Hakodate Morning Market Square ระหว่างทางที่เดินไป ถ้ามาถูกทาง จะเต็มไปด้วยร้านอาหาร ขายอาหารทะเล
พนักงานพยายามเข้ามาคุยด้วย ทำท่า คีบอาหาร พร้อมพูดว่า “โออิชิ” เป็นท่าทางและคำพูดที่เข้าใจง่าย ว่า มามะ มากินร้านเค้า อร่อยมากมาย อย่างนี้ นอกจากอาหารทะเลแล้ว สิ่งที่เห็นดาดดื่นเลยคือ เมลอนหวานฉ่ำ ผ่าซีกพร้อมไม้เสียบ สนนราคาที่ 200 เยน หน้าตาน่ากินเชียว
แต่ด้วยจรรยาบรรณที่มี เราต้องกระแทกด้วยของคาวก่อนเสมอแล้วค่อยตบๆด้วยของหวาน ดังนั้น เราจะไม่ยอมให้กระเพาะของเราแตะอย่างอื่น มุ่งตรงดิ่งไปที่ตลาดกันเลยดีกว่า
อา..ฮะ นั่นไง ประตูทางเข้าตลาด โอ้ว ของขายอลังการมาก ที่เรียกความสนใจเห็นจะเป็น ปูยักษ์ ที่ตั้งใจว่า มาที่นี่ต้องไม่พลาด ปูยังคงดิ้นกระแด่วๆ หากยังเป็นอยู่ ราคาจะสูงสักหน่อย คิดราคาเป็นกิโลเหมือนบ้านเรา คิดแล้วตัวละ 3,000 กว่าบาท ตั้งใจมั่น หอบหิ้วเอาน้ำจิ้มซีฟู้ดผ่านตม. ข้ามน้ำทะเลมาเกาะญี่ปุ่นเพื่อการนี้ หึๆ
แต่พอสบตามันไปๆมาๆ สงสาร สรุปแล้ว ได้กินแค่ขาของคุณปุยักษ์ นี่ขนาดแค่ขายังอิ่มไปครึ่งกระเพาะ ที่เหลือเผื่อที่ไว้ให้ไข่หอยเม่น และบรรดาสารพัดหอยๆต่างๆ ที่เอาไปนึ่ง เผา ก็อร่อยล้ำ ด้วยเพราะว่าอาหารสด และต้องปลื้มปลิ่มกับน้ำจิ้มที่แบกมา แค่มันไม่หกก็ดีใจจะแย่และ
เบ็ดเสร็จ คิดค่าอาหาร 8,460 เยน หรือ สองพันกว่าบาท เงิบไปแว้ปนุง มื้อถัดไปคงต้องประหยัดกันล่ะ ใครที่อยากประหยัดด้านนอกก็มีร้านอาหารให้บริการในราคาที่ไม่แรง อาจเพราะความสดน้อยกว่าหน่อย ก็ไปจัดกันได้ ราคาอยู่ที่ 1600 เยนขึ้นไปจ้า
คิดว่าจะประหยัดเรื่องกินได้เพียงสามวิ ออกมาก็จัด ปลาหมึกแห้งไปอีก ถุงนึง เนื้อจะหนาและนุ่ม ไม่ปรุงรส รสชาติหวานเนื้อปลาหมึกแท้ ราคา 1,000 เยน
บริเวณตลาดนอกจากจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเยอะแล้ว ยังมีเจ้านกนางนวลหน้าตาหิวโหย มาขออาหารกินด้วย ในมือเด็กมีข้าวโพด แถมกินแล้วติดแก้มอีก นกค่อยๆ เดินมาจ้องไปที่ข้าวโพดอย่างใจจดจ่อสุดๆ ไม่กลัวคนเอาซะเล้ย
เดินพอย่อย เราก็ออกเดินทางต่อ จุดหมายคือ ป้อม 5 แฉกค่ะ นั่งรถรางจากสถานี DY17 Hakodate Eki-Maeไปลงที่สถานี DY9 Goryokakukoen-Mae โดยอาศัยดูแผนที่จากตั๋วรถรางซึ่งมีรูปสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจแสดงว่าอยู่ป้ายไหนบ้าง เดินไปตามป้ายสัก 200 เมตร จะพบป้อม 5 แฉก ทางด้านขวามือค่ะ เราเลือกไปเดินสวนสาธารณะก่อน ดูเวลาแล้ว มีเวลาประมาณ 20 นาที คงต้องเร่งฝีเท้ากันหน่อย แล้วค่อยกลับมาขึ้นป้อม
สวนสาธารณะนี้ขนาดใหญ่เอาการ ดีใจที่เค้าให้เข้าฟรี อิอิ แค่ด้านหน้าทางเข้าก็ทำเป็นไม้เลื้อยเป็นพุ่มดอกสีม่วง สวยเชียว ได้เห็นอาจุมม่า จีน พยายามอย่างยิ่งยวดที่จะกระโดดเข้าเฟรมให้พร้อม ดูแววแล้ว น่าจะอีกนาน เหอๆ เลยชิงจังหวะเก็บภาพแล้วเดินต่อจ้า
การออกแบบสวนนี้เป็นลักษณะ 5 แฉกเหมือนรูปดาว รอบนอกเป็นคูน้ำ ด้านในจะปลูกต้นซากุระไว้ ในฤดูร้อน จะเห็นทิวซากุระเป็นแนวสวยงามมาก ส่วนเรามาหน้าฝน ได้เห็นแต่สีเขียวของใบมันไปก่อน ใครที่สนใจมาหน้าหนาว ก็จะเห็นความสวยงามไปอีกแบบ
เดินลึกเข้าไปมีการจัดแสดงเป็นอาคารญี่ปุ่นดั้งเดิม แสดงวิถีชีวิตและข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ด้วยเวลาที่จำกัดและแอบงก 555 เลยเก็บบรรยากาศภายนอกมาให้ชม
อย่างที่บอกบ้านเมืองเค้าอากาศเย็นสบาย แดดแรง ต้นไม้ โดยเฉพาะไม้ดอกดูจะชอบมาก แค่ดอกหญ้าข้างทางยังสวยเลย
สูดอากาศบริสุทธิ์เข้าไปฟอดใหญ่ๆ เดินต่อขึ้นป้อม 5 แฉกกันเลยดีกว่า ด้านในจัดเป็นรูปปั้น คนสำคัญตามจุดต่างๆ เราเดินตรงแหน่วไปที่เคาน์เตอร์จำหน่ายตั๋ว คนละ 840 เยน มาทั้งทีก็ต้องไปชมจากมุมสูงสักหน่อย
ด้านบนของป้อม คล้ายประภาคาร ทำเป็นกระจกใสรอบทิศทาง ทำให้มองเห็นวิวเมืองฮาโกดาเตะ ได้อย่างชัดเจน รวมถึงรูปร่างของสวนสาธารณะด้านล่างด้วย ทำให้เห็นความสวยงามของสถาปัตยกรรมที่คนพยายามสรรสร้างบรรจงปั้นแต่งไว้อย่างสวยงาม
ดูรูปแล้วอาจจะจินตนาการไม่ครบ ไปดูคลิปวิดีโอกันเลย >_<
ทึงคนสมัยก่อนซะจริงๆ นอกจากนี้ ภายในป้อม มีการจัดแสดงจำลองเหตุการณ์และการดำรงชีวิตในอดีตในรูปของรูปปั้นจิ๋ว ได้อย่างน่าสนใจ
และแน่นอน ต้องปิดด้วยของกิน ไอติมกลิ่นซากุระ แหมก็ต้องลองอ่ะเนอะ เวลากระชั้นเข้ามา คราวนี้เริ่มจ้ำอ้าวกันเลย ออกจากป้อม 12.00 รถไฟออก 12.29 ข้าพเจ้าเริ่มร้อนรน นั่งรถรางแบบไม่เป็นสุข ผู้ชายบอกว่า โอ้ยไม่ต้องกังวลไป เค้าออกแบบมาพอดี
เอิ่ม … เอาเป็นว่า ยังไงขอลงรถรางเป็นคนแรกแล้วเดินเร็วไปที่สถานทีก่อนได้ป่ะ สุดท้ายขนาดวิ่งขึ้นไปเอากระเป๋าอย่างรวดเร็ว ไขมันและอาหารเช้าต๊กกะใจกันเป็นแถว ยังต้องวิ่งไปที่ชานชะลา
บร๊ะเจ้า เจ้าหน้าที่หรือนายสถานีกำลังวอให้รถไฟออกจ้า กะเหรี่ยงไทย ชายหญิงสองคนก็ร้อง แบบพี่คะรอหนูด้วย หนูไปคันนี้จริงๆ นะ เจ้าหน้าที่มองหน้า พร้อมบ่นเป็นภาษาญี่ปุ่น ว่า “…x?!!กd??..” คือแปลไม่ออก แค่หายใจยังไม่ทันเลย แล้วโบกมือให้เราขึ้นรถไฟอย่างเฉียดฉิว ในเวลา 12.30
เอิ่มทำให้คนญี่ปุ่นช้าไป 1วิ หันไปเหน็บผู้ชาย เป็นไงล่ะ วางแผนไว้พอดี เพลีย วิ่งเหนื่อยตลอดๆ
ใครที่วางแผนที่เที่ยวตลาดเช้า ก็อย่ามัวแต่กินอาหารจนเพลิน เผื่อเวลาเดินทางไว้หน่อยก็ดีนะจ้ะ
เอาล่ะ next station ของเราคือ Toya Lake เมืองที่อากาศดี ออนเซ็นที่สุดของเฮีย เมืองโทยะ ทริปที่ห้องราคาร่วมหมื่น แพงสุดในทริป จะเลิศหรูอลังการขนาดไหน ติดตามตอนต่อไป “ดอกไม้ไฟ” ที่โทยะ เลค นะจ้ะ
# I am traveller